วิทยุสื่อสาร
วิทยุสื่อสารหรือเรียกอีกชื่อว่า วิทยุคมนาคม เป็นอุปกรณ์ที่แปลงกระแสไฟฟ้าเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า แบ่งออกเป็นภาครับและภาคส่ง แผ่กระจายคลื่นวิทยุออกทางสายอากาศ เป็นเครื่องมือสื่อสารชนิดกึ่งสองทาง ถูกนำมาใช้งานในหลายประเภท เช่น วิทยุราชการ วิทยุสมัครเล่น วิทยุภาประชาชน
1. รุ่นสำหรับประชาชนทั่วไป เป็นลักษณะเครื่องที่มีสีแดง รองรับ ย่านความถี่ CB 245 MHz สามารถใช้ได้โดยไม่ต้องสอบ แต่ต้องทำการขออนุญาตกับ กสทช. 535 บาท ก่อนใช้งาน เหมาะกับการใช้งานในบริษัทเอกชน ธุรกิจห้างร้าน ภัตตาคาร สนามกอล์ฟ ธุรกิจรักษาความปลอดภัย เป็นต้น สำหรับกำลังน้อยกว่า 5 วัตต์ ไม่ต้องขออนุญาต
2. รุ่นสำหรับนักวิทยุสื่อสารสมัครเล่น มีเครื่องสีดำ รองรับ ย่านความถี่ VHF 144-146 MHz ต้องสอบและขออนุญาตจาก กสทช.
3. รุ่นสำหรับข้าราชการ ทหาร ตำรวจ นักกู้ภัย อาสาสมัครมูลนิธิ รองรับย่านความถี่ VHF 136-174 MHz สามารถใช้ได้โดยประกอบกับบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ แบ่งออกได้ดังนี้:
3.1) เฉพาะกิจ หน่วยงานของรัฐและเอกชนเช่าใช้ VHF 136-143.975 MHz, 146.525 - 155.975 MHz, 162.075 - 174.000 MHz
3.2) ทางน้ำหรือ Marine Band VHF 156 - 162.05 MHz
4. คลื่นความถี่ GMRS(General Mobile Radio Service) /FRS (Family Radio Service) ความถี่ UHF 462-467 MHz ของ Motorola Talkabout แบรนด์ฝรั่งอเมริกา และ Uniden แบรนด์ญี่ปุ่น สินค้าคุณภาพ ได้ไกลกว่า แต่ใช้กับ ว.แดง ไม่ได้ ต้องเป็นเครื่องยี่ห้อเดียวกันเท่านั้น ซึ่งคลื่นความถี่นี้ ถ้านำไปใช้ในอเมริกาและยุโรป ต้องมีใบอนุญาต จึงจะถูกกฎหมาย ตามกฎหมายไทย ไม่อนุญาตให้บุคคลธรรมดาใช้
CB =Citizen Band คือความถี่ประชาชน ส่วน UHF =Ultra High Frequency หมายถึงความถี่สูงยิ่งยวด และ VHF =Very High Frequency แปลว่าความถี่สูงมาก โดยที่ คลื่น UHF จะสามารถทะลุทะลวงได้ดีกว่า VHF ตามกฎหมายไทย คลื่น UHF แล่ะ VHF เป็นย่านของราชการ และสมัครเล่น หรือนิติบุคคลที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น เช่นมูลนิธิกู้ภัย ดังนั้นถ้าท่านเป็นบุคคลธรรมดาหรือบริษัทใช้ไม่ได้ จะใช้ได้เฉพาะคลื่น ว.แดง หรือ CB 245 MHz เท่านั้น
ส่วนประกอบของวิทยุสื่อสารแบ่งออกเป็น 4 ส่วนหลักๆ คือ
1. ตัวเครื่อง ตัวเครื่องของวิทยุสื่อสารจะเป็นส่วนที่ประกอบไปด้วยแผงวงจรและอุปกรณ์ต่างๆ ที่เครื่องวิทยุสื่อสารแต่ละรุ่นถูกออกแบบมา
2. แหล่งพลังงาน แหล่งพลังงานคือตัวจ่ายกระแสไฟฟ้า ซึ่งเป็นส่วนที่จะป้อนพลังงานให้กับตัวเครื่องให้เครื่องวิทยุสื่อสารสามารถทำงานได้ ซึ่งจะมีทั้งแบบแหล่งพลังงานแบบแบตเตอรี่แพค และแบบไฟฟ้ากระแสตรง
3. สายอากาศ สายอากาศ เป็นส่วนที่ทำหน้าที่รับสัญญาณวิทยุ ที่อยู่ในรูปแบบคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเข้ามีในตัวเครื่องเพื่อผ่านการแปลงเป็นกระแสไฟฟ้า และในทางกลับกันสายอากาศ จะทำหน้าที่แพร่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ที่ผ่านการแปลงจากกระแสไฟฟ้ามาเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ส่งออกไปยังเครื่องรับสัญญาณวิทยุปลายทางคลื่นวิทยุเกิดจากการเคลื่อนที่ของกระแสไฟฟ้าที่อยู่ในสายอากาศ แล้วแผ่กระจายไปในอากาศ เป็นคลื่น
4. คลื่นวิทยุ คลื่นวิทยุเป็นแม่เหล็กไฟฟ้า แม่เหล็กไฟฟ้ามีความเร็ว 300,000,000 เมตร/วินาที หรือเท่ากับความเร็วแสง หลักปฏิบัติในการติดต่อสื่อสาร
การเตรียมการก่อนการเรียกขาน
1. ต้องจดบันทึกหรือเตรียมข้อความที่จะพูดไว้ก่อน เพื่อความรวดเร็ว การทวงถามถูกต้อง และเป็นหลักฐานในการติดต่อของสถานีตนเองอีกด้วย
2. ข้อความที่จะพูดทางวิทยุ ต้องสั้น กะทัดรัด ชัดเจน และได้ใจความ
3. ก่อนพูดต้องฟังก่อนว่าข่ายสื่อสารนั้นว่างหรือไม่ เพื่อจะได้ไม่เกิดการรบกวนการทำงานของสถานีอื่น โดยต้องใช้นามเรียกขานที่กำหนดให้เท่านั้น
4. ตรวจสอบนามเรียกขานของหน่วยงานหรือบุคคลที่จะต้องทำการติดต่อสื่อสารก่อน
5. การเรียกขานหรือการตอบการเรียก ต้องปฏิบัติตามระเบียบปฏิบัติของข่ายสื่อสารการเรียกขาน
ขั้นตอนการติดต่อสื่อสาร
1. การติดต่อสื่อสารโดยทั่วไปเรียกศูนย์ฯ ที่สังกัด - การเรียกขาน / การตอบ - ใช้นามเรียกขานที่กำหนด
2. แจ้งข้อความ / วัตถุประสงค์ / ความต้องการ - สั้น กะทัดรัด ชัดเจน ได้ใจความ - ใช้ประมวลสัญญาณ ว. ที่กำหนด
3. จบข้อความลงท้ายคำว่าเปลี่ยน
การรับ / แจ้งเหตุฉุกเฉิน
1. เมื่อพบเหตุหรือต้องการความช่วยเหลือให้แจ้งศูนย์ฯ ที่สังกัดหรือสัญญาณ ที่สามารถติดต่อสื่อสารได้
2. เตรียมรายละเอียด (ใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร อย่างไร) ของเหตุเพื่อจะได้แจ้งได้ทันที
3. เมื่อแจ้งเหตุแล้วควรเปิดเครื่องรับ – ส่งวิทยุให้พร้อมไว้เพื่อจะได้ฟังการติดต่อประสานงาน รายละเอียดเพิ่มเติม
4. เมื่อแจ้งเหตุแล้วควรรายงานผลคืบหน้าในการประสานงานเป็นระยะ
5. เมื่อมีผู้แจ้งเหตุแล้วไม่ควรสอดแทรกเข้าไป ควรฟังอย่างสงบเพื่อมิให้เกิดการรบกวนและความสับสน
มารยาทและข้อห้ามการใช้วิทยุสื่อสาร
1. ไม่ติดต่อกับสถานีที่ใช้นามเรียกขานไม่ถูกต้อง
2. ไม่ส่งข่าวสารที่เกี่ยวกับข่าวทางธุรกิจการค้า
3. ไม่ใช้ถ้อยคำที่ไม่สุภาพ หรือหยาบคายในการติดต่อสื่อสาร
4. ไม่แสดงอารมณ์โกรธในการติดต่อสื่อสาร
5. ห้ามการรับส่งข่าวสารอันมีเนื้อหาละเมิดต่อกฎหมายบ้านเมือง
6. ไม่ส่งเสียงดนตรี รายการบันเทิง และการโฆษณาทุกประเภท
7. ให้โอกาสสถานีที่มีข่าวสำคัญ เร่งด่วน ข่าวฉุกเฉิน ส่งข่าวก่อน
8. ยินยอมให้ผู้อื่นใช้เครื่องวิทยุคมนาคม
9. ห้ามติดต่อสื่อสารในขณะมึนเมาสุราหรือควบคุมสติไม่ได้
10. ในกรณีที่มีเรื่องเร่งด่วนต้องการส่งแทรกหรือขัดจังหวะการส่งข่าวควรรอจังหวะที่คู่สถานีจบข้อความที่สำคัญก่อนแล้วจึงส่งการใช้และการบำรุงรักษาเครื่องวิทยุคมนาคม
เครื่องรับ– ส่งวิทยุคมนาคม
1. การใช้เครื่องวิทยุคมนาคมชนิดมือถือไม่ควรอยู่ใต้สายไฟฟ้าแรงสูง ต้นไม้ใหญ่ สะพานเหล็ก หรือสิ่งกำบังอย่างอื่นที่เป็นอุปสรรคในการใช้ความถี่วิทยุ
2. ก่อนใช้เครื่องวิทยุคมนาคมให้ตรวจดูว่าสายอากาศ หรือสายนำสัญญาณต่อเข้ากับขั้วสายอากาศเรียบร้อยหรือไม่
3. ขณะส่งออกอากาศไม่ควรเพิ่มหรือลดกำลังส่ง (HI – LOW)
4. ในการส่งข้อความ หรือพูดแต่ละครั้งอย่ากดสวิทซ์ (PTT) ไม่ควรส่งนานเกินไป (เกินกว่า 30 วินาที)
แบตเตอรี่
1. แบตเตอรี่ใหม่ให้ทำการประจุกระแสไฟฟ้าครั้งแรกนานประมาณ 16 ชั่วโมง ก่อนการนำไปใช้งาน และครบ 16 ชั่วโมงแล้ว ให้นำแบตเตอรี่ออกจากเครื่องประจุแบตเตอรี่จนกว่าแบตเตอรี่จะเย็น จึงจะนำแบตเตอรี่ไปใช้งานได้
2. แบตเตอรี่ (NICKEL CADMIUM) ต้องใช้งานให้หมดกระแสไฟฟ้าจึงจะนำไปประจุกระแสไฟฟ้าได้
3. การประจุกระแสไฟฟ้าหลังจากกระแสไฟฟ้า ตามข้อ 2 หมดแล้ว ให้นำไปทำการประจุกระแสไฟฟ้าใหม่ตามระยะเวลาใช้งานแบตเตอรี่
4. ถ้าแบตเตอรี่ใช้งานไม่หมดกระแสไฟฟ้า ไม่ควร ทำการประจุกระแสไฟฟ้าเนื่องจากจะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพเร็วกว่ากำหนด (NICKEL CADMIUM)
5. ถ้าแบตเตอรี่สกปรกทั้งที่ตัวเครื่องรับ – ส่ง และขั้วแบตเตอรี่ให้ทำความสะอาดโดยใช้ยางลบสำหรับลบหมึกทำความสะอาด
สายอากาศ
1. ความยาวของสายอากาศจะต้องสัมพันธ์กับความถี่วิทยุที่ใช้งาน
2. สายอากาศชนิดชัก ต้องชักสายอากาศให้สุดในขณะใช้งาน และเก็บทีละท่อน
การพกพาเครื่องวิทยุคมนาคม
1. วิทยุสื่อสารให้ใช้ได้เฉพาะพื้นที่ที่ได้รับอนุญาต
2. การพกพาเครื่องวิทยุชนิดมือถือ ต้องนำใบอนุญาตติดตัวไปด้วย หรือถ่ายสำเนาและมีการรับรองสำเนาด้วย
3. การพกพาเครื่องวิทยุชนิดมือถือเข้าไปในสถานที่ต่าง ๆ ควรพิจารณาถึงสภาพของสถานที่ด้วยว่าควรปฏิบัติอย่างไร เช่น ในห้องประชุม ในร้านอาหาร ถ้าจำเป็นควรใช้หูฟัง
4. ขณะพกพาวิทยุควรแต่งกายให้เรียบร้อย และมิดชิดโดยสุภาพ
5. ในกรณีที่มีเจ้าหน้าที่ขอตรวจสอบ ควรให้ความร่วมมือ โดยสุภาพ
ประโยชน์ของการใช้วิทยุสื่อสาร มีดังนี้
- ไม่มีค่าใช้จ่ายรายเดือน - การสื่อสารเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ไม่พลาดการติดต่อ
- เหมาะสำหรับการใช้งานในพื้นที่ที่จำกัด เช่น ภายในบริเวณพื้นที่ก่อสร้าง ท่อเรือ ขนส่ง โรงงานอุตสาหกรรม งานรักษาความปลอดภัย งานประกันภัย เกษตรกรรม การท่าอากาศยาน โรงแรม โรงพยาบาล โรงภาพยนตร์ ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว เป็นต้น
- ใช้เป็นอุปกรณ์สื่อสารแทนอุปกรณ์สื่อสารที่ไม่สามารถติดต่อได้ในพื้นที่จำกัด
- ไม่จำกัดระยะเวลาในการติดต่อสื่อสาร
- สามารถติดตั้งในรถยนต์ได้ โดยใช้สายอากาศเพิ่มเติม เพิ่มขีดความสามารถในการรับส่ง ได้หลายสืบกิโลเมตร
- สามารถติดต่อระหว่างตัวเครื่อง / เครื่อง ได้ระยะ 5-100 กิโลเมตร (ขึ้นอยู่กับประเภทของ เครื่อง)
- ระยะเวลาในการใช้งานสามารถแสตนบายแบตเตอรี่ได้ 1-2 วัน
- มีช่องใช้งานหลัก 80 ช่องใหญ่ และมีช่องย่อยมากกว่า 400 ช่อง
สินค้าแนะนำที่ขายดี เรียงตามลำดับ ต่อไปนี้:
1. รุ่น Fujitel FB-5H ราคาเพียง 2,950 บาท ต่อคู่ เป็นวิทยุสื่อสาร ย่านความถี่ CB 245 MHz ประชาชน สำหรับประชาชนทั่วไป กำลังส่ง 2 วัตต์ ใช้รับส่งกันได้ 1-2 กิโลเมตรในพื้นที่โล่ง หรือ 500 เมตร ภายในอาคาร จุดเด่นคือ ราคาถูก เล็กกะทัดรัด
2. ยี่ห้อ SPENDER มีทะเบียน กสทช. รุ่นต่างๆ เช่น TC-245DX, TC-144DX, และ TC-144G ทั้งย่านความถี่ ประชาชน และราชการ
3. ยี่ห้อ Motorola T246 แบรนด์ฝรั่งอเมริกา เป็นคลื่นความถี่ CB 245 MHz ประชาชน จุดเด่น เป็นแบบคุณภาพสูง แบบดิจิตอล
4. ยี่ห้อ Motorola CP-246 แบรนด์ฝรั่งอเมริกา เป็นคลื่นความถี่ CB 245 MHz ประชาชน จุดเด่น เป็นแบบคุณภาพสูง 5 วัตต์ ไกล 5 กิโเลมตร ในพื้นที่โล่ง
*ทางบริษัทฯ ได้รับอนุญาตให้ค้าวิทยุสื่อสารได้ถูกต้องตามกฎหมายโดย กสทช. ลูกค้าจึงมั่นใจ และสบายใจได้ว่า ทางเราไม่จำหน่ายวิทยุไม่มีใบอนุญาต และท่านจะใช้งานได้อย่างถูกต้อง
*สาระน่ารู้ ข่าวสาร วิทยุสื่อสาร ใหม่ๆ ของ ร้านฯ: "https://www.facebook.com/ucall.radio"